วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัดท้ายบทที่1
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1. จงอธิบายความหมายและส่วนประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
    ตอบ  เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีที่ประกอบขึ้นด้วยระบบจัดเก็บและประมวลข้อมูลระบบสื่อสารโทรคมนาคม และอุปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติงานด้านสารสนเทศที่มีการวางแผนจักการและใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการดังต่อไปนี้
             1) ระบบประมวลผล
             2) ระบบสื่อสารโทรคมนาคม
             3) การจัดการข้อมูล
2. เหตุใดการจักการข้อมูลจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
    ตอบ การจัดการข้อมูล จะให้ความสำคัญกับส่วนประกอบที่ 3 ซึ่งมีความเป็นศิลปะในการจัดการรูปแบบและการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
3. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) มีหน้าที่อะไร และสามารถเปรียบเทียบอวัยวะส่วนของมนุษย์
    ตอบ  CPU จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานและการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์  โดยที่เราสามารถเปรียบเทียบ CPU กับ สมองของมนุษย์ที่มีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ
             1) ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
             2) คำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล
4. เราสามารถจำแนกคอมพิวเตอร์ออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้างๆ
    ตอบ 4 ประเภทดังต่อไปนี้
                 1) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
                 2) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
                 3) มินิคอมพิวเตอร์
                 4) ไมโครคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
5. เหตุใดจึงมีผู้กล่าวว่า  คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักรกลที่เปลี่ยนแปลงโลก และท่านเห็นด้วยกับความคิดนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด    ตอบ เห็นด้วยเพราะ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่ทำให้มนุษย์โลกได้นำไปใช้ในการทำงานและมีประโยชน์หลายๆ ด้าน
6. ชุดคำสั่งและภาษาคอมพิวเตอร์ คืออะไร  และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร    ตอบ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คือ ชุดคำสั่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสาร และ สั่งงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
             ภาษาคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวกราบรื่น โดยชุดคำสั่งสำหรับใช้งานและควบคุมระบบคอมพิวเตอร์จะถูกเขียนขึ้นจากภาษาคอมพิวเตอร์
7. ภาษายุคที่ 4 หรือ 4 GL เป็นอย่างไร และมีความแตกต่างจากภาษาคอมพิวเตอร์ในอดีตอย่างไร
    ตอบ ภาษาในยุคที่ 4 จะเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาให้ง่านต่อการเรียนรู้และการนำไปใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เขียนชุดคำสั่งและผู้ใช้ที่มีความจำกัดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
8. จงยกตัวอย่างและอธิบายรายละเอียดของฌทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่เป็นประโยชน์ต่องานสารสนเทศขององค์กร    ตอบ เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ระบบสารสนเทศที่ดีต้องประยุกต์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ใช้ที่อยู่ห่างกัน


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1. นิยามความหมายและยกตัวอย่างของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
    ตอบ ระบบสารสนเทศเพื่อการจักการ หมายถึง ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งต่างๆทั้งภายในและภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกนฑ์ เพื่อนำมาประมวลผลให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสุนการทำงานและการตัดสินใจของผู้บริหารในด้านต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เราจะเห็นว่า MIS จะประกอบไปด้วยหน้าที่หลัก 2 ประการดังต่อไปนี้
         1. เครื่องมือในการสร้าง MIS เป็นส่วนประกอบ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่รวมกันเข้าเป็นระบบสารสนเทศ และช่วยให้ระบบสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
        2. วิธิการประมวลเป็นลำดับชั้นในการประมวลผลข้อมูล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ผู้ใช้ต้องการ
        3. การแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากระบบสารสนเทศมักเป็นรูปแบบรายงานต่างๆ ซื่งสามารถเรียกมาแสดงได้อย่างรวดเร็ว
2. ข้อมูลและสารสนเทศมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
    ตอบ ข้อมูล หมายถึง ข้อมูลดิบที่ถูกรวบรวมจากแหล่งต่างๆ ทั้งภายในภายนอกองค์การโดยข้อมูลดิบจะยังไม่มีความหมายในการนำไปใช้ประโยชน์หรือตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ขณะที่สารสนเทศ หมายถึง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลข้อมูลดิบที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบโดยผลลัพธ์ที่ได้สามารถนำไปประกอบการทำงาน โดยเฉพาะการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสทางธุรกิจ
3. สารสนเทศที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร
ตอบ 1. ถูกต้อง
             2. ทันเวลา
             3. สอดคล้องกับงาน
             4. สามารถตรวจสอบได้ 
4. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจอย่างไร
ตอบ 1. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์
             2. ช่วยผู้ใช้ในการกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัติการ
             3. ช่วยผู้ใช้ในการตรวจสอบผลการดำเนินงาน
             4. ช่วยผู้ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
             5. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น
             6. ช่วยลดค่าใช้จ่าย
5. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง
    ตอบ  1. ความสามารถในการจัดการข้อมูล
             2. ความปลอดภัยของข้อมูล
             3. ความยืดหยุ่น
             4. ความพอใจของผู้ใช้ 
6. บุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีกี่ระดับ อะไรบ้าง
    ตอบ มี 3 ระดับดังต่อไปนี้
             1. หัวหน้างานระดับต้น
             2. ผู้จัดการระดับกลาง
             3. ผู้ปริหารระดับสูง
7. จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการใช้งานระบบสารสนเทศและระดับของผู้บริหารในองค์การ
    ตอบ MIS จะช่วยผู้บริหารในการเข้าถึงข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการวางแผนตรวจสอบการการดำเนินงาน โดยระบบสารสนเทศช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสาเหตุและทำการแก้ปัญหาถ้าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นในการดำเนินงาน กิจกรรมของระบบสารสนเทศที่กล่าวมาจะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมี่ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาวะทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงเช่นในปัจจุบัน นอกจากนี้ระบบสารสนเทศที่ดีควรมีความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา
8. ผู้บริหารสมควรมีบทบาทต่อการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์การอย่างไร
    ตอบ 1. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างประสิทธิภาพ และความพร้อมในการแข่งขันให้กับองค์การ
            2. เข้าใจความต้องการของระบบและองค์การในสภาพแวดล้อมยุคโลกาภิวัตน์
            3. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพในการดำเนินงานทั่วทั้งองค์การ
            4. มีส่วนร่วมในการออกแบบและการพัฒนาโครงสร้างระบบสารสนเทศรวมขององค์การ
            5. บริหารและตัดสินใจในการสรรหาและคัดเลือกเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารโทรคมนาคม
            6. จัดการและควบคุมผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อผู้เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรลูกค้า ผู้ขายวัตถุดิบ และต่อองค์การ
            7. ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทำงานแก่ผู้ใช้อื่น
            8. เข้าใจประเด็นสำคัญด้านจริยธรรมที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
9. โครงสร้างของหน่วยงานสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ส่วน อะไรบ้าง
    ตอบ 3 ส่วนดังต่อไปนี้
                1. หน่วยวิเคราะห์และออกแบบระบบ
                2. หน่วยเขียนชุดคำสั่ง
                3. หน่วยปฎิบัติการและบริการ
10. บุคลากรของหน่วยงานสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ 7 ประเภท ดังนี้
 1.  หัวหน้าพนักงานสารสนเทศ
 2.  นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ
 3.  ผู้เขียนชุดคำสั่ง
 4.  ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์
 5.  ผู้จัดตารางเวลา
 6.  พนักงานจัดเก็บและรักษา
 7. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล
11. เพราะเหตุใดผู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศจะต้องตระหนักและให้ความสำคัญกับจริยธรรมและจรรยาบรรณ
ตอบ เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเราเรียกว่า IT ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อีกทั้ง IT มีอิทธิพลอย่างมากในเรื่องการกระจายอำนาจ ทรัพย์สิน สิทธ์ และความรับผิดชอบ ดังนั้นจริยธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญของผู้ที่ทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่จะต้องตระหนักและให้ความสำคัญ
12. จงอธิบายตัวอย่างผลกระทบทางบวกและทางลบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ตอบ ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางกลายเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคข้อมูลข่าวสาร และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติอย่างมหาศาลนั้น หมายถึง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามย่อมมีผลกระทบต่อบุคคล องค์การ
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3
ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1. จงตอบคำถามข้อย่อยต่อไปนี้
     1.1 อธิบายความหมายของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (TPS)        
 ตอบ ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น เพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองศ์การ โดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ โดยที่ TPS จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานในแต่ละวันขององศ์การเป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นระบบ โดยเฉพาะปัจจุบันที่การดำเนินงานในแต่ละวันมักจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกสารสนเทศมาอ้างอิงอย่างสะดวกและถูกต้องในอนาคต
     1.2 หน้าที่หลักของ TPS มีอะไรบ้าง
           ตอบ TPS มีหน้าที่หลัก 3 ประการดังต่อไปนี้   
                           1. การทำบัญชี
                           2. การออกเอกสาร
                           3. การทำรายงานควบคุม
    1.3 อธิบายส่วนประกอบของวงจรการทำงานของ TPS ว่าแตกต่างจากระบบจัดออกรายงานสำหรับการจัด MRS อย่างไร
            ตอบ  1. การป้อนข้อมูล
                     2. การประมวลผล
                     3. การปรับปรุงข้อมูล
                     4. การผลิตรายการ
                     5. การให้บริการ
2. จงตอบคำถามข้อย่อยต่อไปนี้
    2.1 อธิบายความหมายของระบบจัดทำรายงานเพื่อการจัดการ (MRS)
          ตอบ MRS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกแบบและพัฒนาขึ้น เพื่อรวบรวมประมวลผล จัดระบบ และจัดทำรายงานหรือเอกสาร สำหรับช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร โดยที่ MRS จะจัดทำรายงานหรือเอกสาร และส่งต่อไปยังฝ่ายจัดการตามระยะเวลาที่กำหนด หรือตามความต้องการของผู้บริหารเนื่องจากรายงานที่ถูกจัดทำอย่างเป็นระบบจะช่วยให้บริหารงานมีประสิทธิภาพ
   2.2 รายงานที่ออกโดยระบบ MRS มีกี่ประเภท และอะไรบ้าง จงอธิบายอย่างละเอียด
         ตอบ MRS แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้
                     1. รายงานที่ออกตามตาราง (Schedule Report) เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน เช่น ประจำวัน ประจำสัปดาห์ หรือประจะเดือน เป็นต้น
                     2. รายงานที่ออกในกรณีพิเศษ (Exception Report) เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นเมื่อมีสิ่งผิดปกติหรือปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้น และทำการตัดสินใจแก้ไขและควบคุมผลประโยชน์ขององศ์การ เช่น รายชื่อลูกค้าที่ค้างชำระ เป็นต้น
                     3. รายงานที่ออกตามความต้องการ (Demand Report) เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามความต้องการของผู้บริหาร ซึ่งรายงานตามความต้องการจะแสดงข้อมูลเฉพาะเรื่องที่ผู้บริหารต้องการทราบ เพื่อให้ผู้บริหารเกิดความเข้าใจในปัญหาและสามารถตัดสินใจอย่างเหมาะสม
                     4. รายงานที่ออกเพื่อพยากรณ์ (Predictive Report) เป็นรายงานที่ใช้ข้อสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร การพยากรณ์จะอาศัยเทคนิกการวิเคราะห์ทางสถิติและคณิตศาสตร์ หรือที่เรียกว่า การวิจัยขั้นดำเนินงาน
   2.3 สิ่งที่ควรมีในรายงานที่ออกโดยระบบ MRS มีอะไรบ้าง
         ตอบ 1. การวางแผน
                  2. การตรวจตอบ
                  3. การควบคุมการจัดการ
   2.4 คุณสมบัติที่ดีของระบบ MRS มีอะไรบ้าง จงอธิบายอย่างละเอียด
         ตอบ 1. ตรงประเด็น (Relevance) รายงานที่ออกควรที่จะบรรลุด้วยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการหรือเป็นประโยชน์ต่อเรื่องที่ผู้บริหารกำลังทำการตัดสินใจอยู่
                  2. ความถูกต้อง (Accuracy) รายงานที่ออกควาบรรลุด้วยสารสนเทศที่ถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด และเป็นที่เชื่อถือได้ของผู้บริหาร
                  3. ถูกเวลา (Timeliness) รายงานที่ออกควรจะบรรลุสารสนเทศที่ทันสมัยและทันเวลาเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนั้น
                  4. สามารถพิสูจน์ได้ (Verifiability) รายงานที่ออกควรบรรลุสารสนเทศที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาว่า เป็นข้อมูลจากแหล่งใด และมีความน่าเชื่อถือเพียงใด
3. จงอธิบายความหมายของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DEE)
    ตอบ ระบบสารสนเทศที่จัดหาหรือจัดเตรียมข้อมูลสำคัญสำหรับผู้บริหาร เพื่อจะช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น ปกติปัญหาของผู้บริหารจะมีลักษณะที่เป็นกึ่งโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้างซึ่งยากต่อการวางแนวทางรองรับหรือแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. จงตอบคำถามข้อย่อยต่อไปนี้
     4.1 อธิบายความหมายของระบบสารสนเทศสำนักงาน (OIS)
           ตอบ ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยให้การทำงานในสำนักงานมีประสิทธิภาพ โดย OIS จะประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงานที่ถูกออกแบบให้ปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้การปฏิบัติงานในสำนักงานเกิดผลสูงสุด
    4.2 อธิบายหน้าที่ของระบบจัดการเอกสารในระบบสารสนเทศสำนักงาน พร้อมยกตัวอย่าง
           ตอบ ระบบจัดการเอกสาร (Document Management System) ถูกพัฒนาขึ้นให้มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการจัดทำ กระจาย และเก็บรักษาเอกสารต่างๆ ภายในองศ์การ โดยระบบจัดการเอกสารจะประกอบไปด้วยเครื่องมือสำคัญดังต่อไปนี้
                    - การประมวลคำ
                    - การผลิตเอกสารหลายชุด
                    - การออกแบบเอกสาร
                    - การประมงลรูปภาพ
                    - การเก็บรกษา
    4.3 อธิบายหน้าที่ของระบบควบคุมข่าวสารในระบบสารสนเทศสำนักงาน พร้อมยกตัวอย่าง
           ตอบ ระบบควบคุมและส่งผ่านข่าวสาร (Message-Handling System) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อควบคุมการกระจายและการใช้งานข่าวสารในสำนักงาน โดยการจักการข้อมูลให้เป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบในการส่งผ่านข่าวสารที่สำคัญดังต่อไปนี้
                    - โทรสาร
                    - ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
                    - ไปรษณีย์เสียง
    4.4 อธิบายหน้าที่ของระบบการประชุมทางไกลในระบบสารสนเทศในสำนักงาน พร้อมยกตัวอย่าง
           ตอบ ระบบประชุมทางไกล (Teleconferencing) เป็นระบบเชื่อมโยงบุคคลตั้งแต่ 2 คน ซื่งอยู่กันคนละที่ ให้สามารถประชุมหรือโต้ตอบกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปอยู่ในสถานที่เดียวกัน ระบบประมทางไกลแบ่งออกเป็น 5 ประเภทดัง่อไปนี้
                    - การประชุมทางไกลที่ใช้ทั้งภาพและเสียง
                    - การประชุมทางไกลใช้เฉพาะเสียง
                    - การประชุมโดยใช้คอมพิวเตอร์
                    - โทรทัศน์ภายใน
                    - การปฏิบัติงานผ่านระบบสื่อสารทางไกล
   4.5 อธิบายหน้าที่ของระบบสนับสนุนการทำงานสำนักงานในระบบสารสนเทศสำนักงาน พร้อมยกตัวอย่าง
          ตอบ ระสนับสนุนการดำเนินงานในสำนักงาน (Office Support System) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยให้พนักงานในสำนักงานเดียวกันใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในสำนักงานให้เกิดประโยชน์ในการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุน และช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยที่เราสามารถแบ่งระบบสนับสนุนการดำเนินงานในสำนักงานออกได้เป็นหลายระบบดังต่อไปนี้
                    - ชุดคำสั่งสำหรับกลุ่ม
                    - ระบบจัดระเบียบงาน
                    - คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ
                    - การนำเสนอประกอบภาพ
                    - กระดานข่าวสารในสำนักงาน
บทที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
 บทที่ 1
เทคโนโลยีสารสนเทศ
การเปลี่ยนแปลงสังคมความเป็นอยู่ของมนุษย์เป็นไปอย่างรวดเร็ว กล่าวกันว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะ ที่เรียกว่า การปฏิวัติมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกเกิดจากการที่มนุษย์รู้จักใช้ระบบชลประทาน เพื่อการเพาะปลูกสังคมความเป็นอยู่ของมนุษย์จึงเปลี่ยนจากการเร่ร่อนมาเป็นการตั้งหลักแหล่ง เพื่อทำการเกษตร ต่อมาเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากที่เจมส์วัตต์ (James Watt ) ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำมนุษย์รู้จักนำ เอาเครื่องจักรมาช่วยในอุตสาหกรรมการผลิต และช่วยในการสร้างยานพาหนะ เพื่องานคมนาคมขนส่ง ผลที่ตามมาทำให้เกิดการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม สังคมความเป็นอยู่ของมนุษย์จึงเปลี่ยนจากสังคมเกษตรมาเป็นสังคมเมือง
การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคแรก เริ่มจากการใช้เครื่องจักรกลแทนการทำงานด้วยมือ พลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักรมาจากพลังงานน้ำพลังงานไอน้ำ และเปลี่ยนเป็นพลังงานจากน้ำมันมีการขับเคลื่อนเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เกิดขึ้นอีก โดยเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานจากการทีละขั้นตอนมาเป็นการทำงานระบบอัตโนมัติ การทำงานเหล่านี้อาศัยระบบควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น
มีผู้กล่าวว่าการปฏิวัติครั้งที่สามกำลังจะเกิดขึ้น โดยสิ่งที่เกิดใหม่นี้ ได้แก่ การพัฒนาทางด้านความคิด การตัดสินใจ โดยอาศัยหลักการของคอมพิวเตอร์ ในอนาคตกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวอาจทำงานทั้งหมดโดยอาศัยระบบคอมพิวเตอร์ควบคุม ทำการควบคุมหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ และให้หุ่นยนต์ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรอีกต่อหนึ่ง ความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมเกือบทุกแขนงมีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ระบบการผลิต สวนใหญ่ต้องใช้คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์แทรกเข้ามาเกือบทุกกระบวนการ ตั้งแต่ การควบคุม การขนส่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และการบรรจุหีบห่อ 
ในระดับประเทศประเทศไทยสั่งซื้อสินค้าเทคโนโลยีระดับ สูงเป็นปริมาณมาก ทำให้ต้องซื้อเทคนิควิธีการ ตลอดจนเครื่อง มือเครื่องจักรเข้ามาในปริมาณมากไปด้วย ขณะเดียวกันเรายัง ขาดบุคลากรที่จะพัฒนาเครื่องจักรเครื่องมือเหล่านั้น ให้มีประ สิทธิภาพ การสูญเสียเงินตราเนื่องจากสาเหตุนี้จึงเกิดขึ้นมิใช่น้อย หลายโรงงานยังไม่กล้าใช้เครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เพราะ หาบุคลากรใน การดำเนินการได้ยาก แต่ในระยะหลังค่าจ้างแรง งานสูงขึ้น และการแข่งขัน ทางธุรกิจมีมากขึ้น จึงตกอยู่ในสภาวะ จำยอมที่ต้องนำเครื่องมือเหล่านั้นเข้ามา เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าว ให้ผลผลิตที่ดีกว่าของเดิมและทำให้ราคาต้นทุนการผลิตสินค้าต่ำ ลงอีกด้วย
ในยุควิกฤตการพลังงาน หลายประเทศพยายามลด การใช้พลังงาน โรงงานพยายามหาทางควบคุมการใช้ พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อจะลดค่าใช้จ่ายลง จึงมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยควบคุม เช่น ควบคุมการเดิน เครื่องให้เหมาะสม ควบคุมปริมาณการเผาไหม้ของ เครื่องจักรในกระบวนการผลิต ควบคุมการจัดภาระงาน ให้เหมาะสม รวมถึงการควบคุมสิ่งแวดล้อมต่างๆ ด้วย
เมื่อคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากขึ้น ได้มีการพัฒนางานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้น และในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น สังเกตได้จากการนำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาใช้ในสำนักงาน การจัดทำระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แสดงว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการคำนวณและ เก็บข้อมูลได้ แพร่ไปทั่วทุกแห่ง เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญต่อการแข่งขันด้านธุรกิจและการขยายตัวของบริษัท ส่งผลต่อการให้บริการขององค์การและหน่วยงาน และมีผลต่อการประกอบกิจในแต่ละวัน
เทคโนโลยีสารสนเทศเริ่มใช้งานในประเทศไทย เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยในปีพ.ศ. 2507 มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และในขณะนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศยังไม่แพร่หลายนัก จะมีเพียงการใช้โทรศัพท์เพื่อการติดต่อสื่อสารและนำคอมพิวเตอร์มาช่วยประมวลผลข้อมูล งานด้านสารสนเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นงาน ภายในสำนักงานที่ยังไม่มีอุปกรณ์และเครื่องมือด้านเทคโนโลยีมาช่วยงานเท่าใดนัก
เมื่อมีการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ช่วยงานสารสนเทศ เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร โทรสาร และไมโครคอมพิวเตอร์ อาชีพของประชากรก็ปรับเปลี่ยนมาสู่งานด้านสารสนเทศมากขึ้น สานักงานเป็นแหล่งที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากที่สุด เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีเงินเดือนและบัญชีรายรับรายจ่าย การติดต่อสื่อสารภายในและภายนอกโดยโทรศัพท์และ โทรสาร การจัดเตรียมเอกสารด้วยการใช้เครื่องถ่ายเอกสารและคอมพิวเตอร์ ํ
งานด้านสารสนเทศมีแนวโน้มขยายตัวที่ค่อนข้างสดใส เพราะเทคโนโลยีด้านนี้ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างเต็มที่ มีการวิจัยและพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ออกมาตอบสนองความต้องการของมนุษย์อยู่ตลอดเวลาเทคโนโลยีที่ใช้ในระบบสารสนเทศที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในขณะนี้ คือ เทคโนโลยีสื่อประสม (multimedia) ซึ่งรวมข้อความ ภาพ เสียงและวิดีทัศน์เข้ามาผสมกัน เทคโนโลยีนี้กำลังได้รับการพัฒนา ในอนาคตเทคโนโลยีแบบสื่อประสม จะช่วยเสริมและสนับสนุนงานด้านสารสนเทศให้ก้าวหน้าต่อไป เป็นที่คาดหมายว่าอัตราการเติบโตของ ผู้ทำงานด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีมากขึ้น
แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศค่อยๆ กลายมาเป็นระบบรวม โดยให้คอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งทำงานพร้อมกันได้หลายๆ อย่าง นอกจากใช้ประมวลผลข้อมูลด้านบัญชีแล้ว ยังใช้งานจัดเตรียมเอกสารแทนเครื่องพิมพ์ดีด ใช้รับส่งข้อความ หรือจดหมายกับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกล ซึ่งอาจอยู่คนละซีกโลกในลักษณะที่เรียกว่า ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับเครื่องถ่ายเอกสาร นอกจากจะใช้ถ่ายสำเนาเอกสารตามปกติแล้ว อาจเพิ่มขีด ความสามารถให้ใช้งานเป็นเครื่องพิมพ์ หรือรับส่งโทรสารได้อีกด้วย
การพัฒนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ (hardware) ซอฟต์แวร์ (software) ด้านข้อมูลและการติดต่อสื่อสาร ผู้ใช้จึงต้องปรับตัวยอมรับและเรียนรู้ เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะข้อมูลและ การติดต่อสื่อสาร (communication) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ การดำเนินธุรกิจ หากการดำเนินงานธุรกิจใช้ข้อมูลซึ่งมีการบันทึกใส่กระดาษและเก็บรวบรวมใส่ แฟ้มการเรียกค้นและสรุปผลข้อมูลย่อมทำได้ช้า และเกิดความผิดพลาดได้ง่ายกว่า การประมวล ผลข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้ทำงานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องขึ้น และที่สำคัญช่วยให้สามารถตัดสินใจดำเนินงานได้เร็ว
บทที่ 2 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
บทที่ 2
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
          ข้อมูล (Data) หมายถึงค่าความจริง ซึ่งแสดงถึงความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้น เช่น ชื่อพนักงานและจำนวนชั่วโมงการทำงานในหนึ่งสัปดาห์, จำนวนสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้า เป็นต้น ข้อมูลมีหลายประเภท เช่น ข้อมูลตัวเลข ข้อมูล ตัวอักษร ข้อมูลรูปภาพ ข้อมูลเสียงและข้อมูลภาพเคลื่อนไหว ซึ่งข้อมูลชนิดต่างๆ เหล่านี้ใช้ในการนำเสนอค่าความจริงต่างๆ โดยค่าความจริงที่ถูกนำมาจัดการและปรับแต่งเพื่อให้มีความหมายแล้ว จะเปลี่ยนเป็นสารสนเทศ สารสนเทศ (Information) หมายถึงกลุ่มข้อมูลที่ถูกจัดการตามกฎหรือ ถูกกำหนดความสัมพันธ์ให้ เพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นเกิดประโยชน์หรือมีความหมายเพิ่มมากขึ้น ประเภทของสารสนเทศขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนยอดขายของตัวแทนจำหน่ายแต่ละคนในเดือนมกราคมจัดเป็นข้อมูล เมื่อนำมาประมวลผลรวมกันทำให้ได้ยอดขายรายเดือนของเดือนมกราคม ทำให้ผู้บริหารสามารถนำยอดขายรายเดือนมาพิจารณาว่ายอดขายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือไม่ได้ง่ายขึ้น ยอดขายรายเดือนนี้จึงจัดเป็นสารสนเทศ หรือตัวอย่าง เช่น ตัวเลข 1.1, 1.5, และ 1.6 จัดเป็นข้อมูลตัวเลข เนื่องจากเป็นค่าความจริงซึ่งยังไม่สามารถแปลความหมายใดๆ ได้แต่ข้อมูลเหล่านี้จัดเป็นสารสนเทศเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่บ่งบอกความหมายของข้อมูลได้มากขึ้น เช่น เมื่อกล่าวว่า ตัวเลขเหล่านี้คือยอดขายประจำเดือนมกราคม กุมภาพันธ์และมีนาคม โดยมีหน่วยเป็นหลักล้าน จะทำให้ตัวเลขทั้ง 3 มี ความหมายเกิดขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่ายอดขายเฉลี่ยระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมมีค่าเท่ากับ 1.4 ล้าน จัดเป็น สารสนเทศที่เกิดขึ้นจากข้อมูลตัวเลขทั้ง
          การจัดการ (Management) หมายถึงการบริหารอย่างมีระบบ ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดเป้าหมายและ ทิศทางขององค์กรและการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ซึ่งจะต้องมีการวางแผน การจัดการ การกำหนดทิศทางและการควบคุมเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม
แนวคิดของระบบและการทำตัวแบบ
          ระบบ (System) หมายถึงกลุ่มส่วนประกอบหรือระบบย่อยต่างๆที่มีการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยส่วนประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ จะเป็นตัวกำหนดว่าระบบจะสามารถทำงานได้อย่างไร เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยระบบแต่ละระบบถูกจำกัดด้วยขอบเขต (System Boundary) ซึ่งจะเป็นตัวแยกระบบนั้นๆ ออกจากสิ่งแวดล้อม
ประเภทของระบบ
          1. ระบบอย่างง่าย(Simple) และระบบที่ซับซ้อน (Complex
          2. ระบบเปิด(Open) และระบบปิด (Close)
          3. ระบบคงที่ (Static) และระบบเคลื่อนไหว (Dynamic)
          4. ระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive) และระบบที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (Nonadaptive)
          5. ระบบถาวร (Permanent) และระบบชั่วคราว (Temporary)
ประสิทธิภาพของระบบ
          ประสิทธิภาพของระบบสามารถวัดได้หลายทาง ได้แก่          ประสิทธิภาพ (Efficiency) คือการวัดสิ่งที่ถูกผลิตออกมา หารด้วยสิ่งที่ถูกใช้ไป สามารถแบ่งช่วงจาก 0 ถึง 100% ตัวอย่างเช่น ประสิทธิภาพของเครื่องมอเตอร์เครื่องหนึ่งคือพลังงานที่ผลิตออกมา (ในรูปของงานที่ทำเสร็จ) หารด้วยได้พลังงานที่ใช้ไป (ในรูปของไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง) เครื่องมอเตอร์บางเครื่องมีประสิทธิภาพ 50% หรือน้อยกว่า เนื่องจากพลังงานสูญเสียไปในการเสียดทาน และกำเนิดความร้อน          ประสิทธิผล (Effectiveness) คือการวัดระดับการประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายของระบบ สามารถคำนวณได้ด้วยการ หารสิ่งที่ได้รับจากการประสบผลสำเร็จจริง ด้วยเป้าหมายรวม เช่น บริษัทหนึ่งมีเป้าหมายในการลดชิ้นส่วนที่เสียหาย 100 หน่วย เมื่อนำระบบการควบคุมใหม่มาใช้อาจจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ ถ้าระบบควบคุมใหม่นี้สามารถลดจำนวนชิ้นส่วนที่เสียหายได้เพียง 85 หน่วย ดังนั้นระดับของประสิทธิผลของระบบควบคุมนี้จะเท่ากับ 85%
บทที่ 3 ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
บทที่ 3
ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
          เราสามารถกล่าวได้ว่าหน้าที่หลักของ MIS คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากทั้งภายใน และภายนอกองค์การมาไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อทำการประมวลผลและจัดรูปแบบข้อมูลให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสม และจัดพิมพ์เป็นรายงานส่งต่อให้ผู้ใช้ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจและบริหารงานของเขาให้มีประสิทธิภาพ          1. ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (Transaction Processing System) หรือที่เรียกว่า TPS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การ          2. ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ (Management Reporting System) หรือที่เรียกว่า MRS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น เพื่อรวบรวม ประมวลผล          3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Supporting System) หรือที่เรียกว่า DSS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่จัดหารหรือจัดเตรียมข้อมูลสำคัญสำหรับผู้บริหาร          4. ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information System) หรือที่เรียกว่า OIS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยให้การทำงานในสำนักงานมีประสิทธิภาพโดย OIS
          ความต้องการใช้งานสารสนเทศที่หลากหลายในองค์การ ทำให้ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการแตะละประเภทจะมีวัตถุประสงค์ ส่วนประกอบ และการใช้งานที่แตกต่างกัน นอกจากนี้แต่ละระบบยังทวีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ           ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ หรือที่เรียกว่า TPS หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น โดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ เพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายองค์การมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ระบบจัดทำรายงานเพื่อการจัดการ
          ผู้จัดการเป็นบุคคลสำคัญของแต่ละหน่วยงาน เนื่องจากผู้จัดการจะมีหน้าที่ในการวางแผนจัดระบบงาน และควบคุมให้งานบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยผู้จัดการต้องตัดสินใจในปัญหา หรือทางเลือกในการดำเนินงานของหน่วยงาน แต่ผู้จัดการส่วนใหญ่จะมีเวลาจำกัดในการตัดสินใจ ระบบจัดทำรายงานเพื่อการจัดการหรือ MRS เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อรวบรวมและประมวลผลข้อมูล สำหรับจัดทำเป็นรายงานเสนอต่อผู้จัดการ เพื่อช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจในปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของรายงาน
          รายงาน (Report) เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นโดยรวบรวมข้อมูลสำคัญในแต่ละเรื่อง เพื่อใช้ประกอบการปฏิบัติงานของผู้ใช้หรือการตัดสินใจของผู้บริหาร ปกติผู้จัดการต้องการรายงานในเรื่องต่าง ๆ เช่น ยอดขาย สินค้ารับคืน หรือต้นทุนการดำเนินงาน เป็นต้น เพื่อใช้ประกอบการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ โดยที่เราสามารถแบ่งรายงานที่ผลิตโดย MRS ออกได้เป็น 4 ประเภท รายงานเป็นรูปแบบสำคัญในการจดบันทึก ส่งผ่าน และอ้างอิงข้อมูลภายในขององค์การ ในอดีตการจัดทำรายงานจะใช้ระยะเวลาและแรงงานมาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้การจัดทำรายงานมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้เวลาและข้อมูลให้เกิดประโยชน์ ในการทำงานอย่างเต็มที
คุณสมบัติของสารสนเทศในระบบจัดทำรายงาน
          ผู้จัดการส่วนมากจะมีงานที่หลากหลาย แต่มักจะมีเวลาที่จำกัดในการแก้ปัญหา จึงมีความต้องการสารสนเทศที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และสะดวกต่อการใช้งาน ดังนั้นรายงานที่ออกโดยระบบจัดทำรายงานสำควรจะบรรจุไปด้วยสารสนเทศที่มีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของผู้จัดการหรือผู้ใช้ ซึ่งสารสนเทศที่มีคุณภาพควรจะประกอบไปด้วยคุณสมบัติ ต่อไปนี้          1. ตรงประเด็น (Relevance) ประโยชน์ต่อเรื่องที่ผู้บริหารกำลังทำการตัดสินใจอยู่          2. ความถูกต้อง (Accuracy)
          3. ถูกเวลา (Timeliness)
          4. สามารถพิสูจน์ได้ (Verifiability)
ประเภทของงานสำนักงาน
          1. การตัดสินใจ (Decision Making)
          2. การจัดการเอกสาร (Document Handling)
          3. การเก็บรักษา (Storage)
          4. การจัดเตรียมข้อมูล (Data Manipulation)
          5. การติดต่อสื่อสาร (Communication)

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

บทความที่ 8

 


3G และ 4G
3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น
              ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มี ช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น
                 เช่น บริการส่งแฟกซ์โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสารดาวน์โหลดเพลงชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี
              3G น่าสนใจอย่างไร
              จากการที่ 3G สามารถ รับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่
              เช่น จอแสดงภาพสีเครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกมแสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
              3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพาวิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ)แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์ข่าวบันเทิงข้อมูลด้านการเงินข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”
              คุณสมบัติหลักของ 3G คือ 
              มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล
              ซึ่ง การเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3Gสำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC
4G ( Forth Generation ) 
เทคโนโลยี 4จี เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบเครือข่ายใหม่นี้ จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติการเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่าง ผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีก เครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าตามบ้านเลยทีเดียว สำหรับ 4จี จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที

ลักษณะเด่นของ 4G

 4G คือ Forth Generation ซึ่งในบ้านเรายังไม่มีให้เห็นกัน  เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีสื่อสารในยุค 4G  เรื่องความเร็วนั้นเหนือกว่า 3G มาก  คือทำความเร็วในการสื่อสารได้ถึงระดับ 20-40 Mbps  เมื่อเทียบกับความเร็วที่ได้จาก 3G นั้นคนละเรื่องกันเลย  ที่ญี่ปุ่นนั้นเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้เทคโนโลยี 4G สามารถให้บริการรับชมรายการโทรทัศน์ผ่านมือถือได้แล้ว  หรือจะโหลดตัวอย่างภาพยนตร์มาชมบนโทรศัพท์มือถือก็มีให้เห็นเช่นกัน  ทำไมญี่ปุ่นถึงรีบกระโดดไปสู่ยุค 4G  กันเร็วเหลือเกิน คำตอบง่าย ๆ ก็คือ “ดิจิตอลคอนเทนต์” เป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนั่นเอง  เมื่อผู้ให้บริการหลายหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  โดยจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายที่มีความเร็วสูง  สามารถรับส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก ๆ  ดังนั้น การผลักดันตัวเองให้เข้าสู่ยุค 4G ที่ใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่า  3G ก่อนคู่แข่ง  น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด

ความโดดเด่นของ 4G คือ ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนเครือข่ายที่กินพื้นที่กว้างก็ได้หรือจะทำเป็นเครือข่ายขนาดย่อม ๆ แบบ WLAN ได้อีกด้วย  นั่นจึงทำให้หลายคนมองว่า 4G จะมาเบียดเทคโนโลยีของWi-Fi หรือไม่  เพราะสามารถใช้งานได้ทั้งสองแบบ  

อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังคงอิงกับมาตรฐานของ 3G อยู่ ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับขยายไปสู่ยุค 4Gเลย  เพราะว่า Wimax กำลังเข้ามานั่นเอง  ระบบสื่อสารแห่งอนาคตที่ให้ความยืดหยุ่นสูง  สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างไกล  ความเร็วในการสื่อสารสูงสุดในขณะนี้

 ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมไม่รวมเทคโนโลยี 3G กับ WiMAX เข้าด้วยกัน และพัฒนาให้เป็น “interim 4G” หรือ “4G เฉพาะกิจ” เพื่อไปเร่งพัฒนา “4G ตัวจริง” (Real 4G) กันออกมาไม่ดีกว่าหรือ จึงเป็นเสียงที่คิดดังๆจากหลายกลุ่มในปัจจุบัน 


 แน่นอนที่ว่า คงจะไม่ใช่แนวคิดของ 4G ที่ หลายฝ่ายตั้งความหวังไว้ เพราะอย่างน้อยที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ เทคโนโลยีทั้งสองยังไม่สามารถรองรับความเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่ดาวน์ ลิงค์/อัพลิงค์(downlink/uplink) ขณะกำลังเคลื่อนที่ในกรณีของ GSM ที่ 100 mbps/50 mbps และกรณี CDMA ที่ต้องการให้เหนือกว่า GSM โดยจะให้มีความเร็วเป็น 129 mbps/75.6 mbps
ทำไมจึงอยากได้ 4G
เป็นคำถามที่น่าสนใจ มีเหตุผลอะไรจึงอยากได้เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่ หรือ 4G กันมาก ถ้าจะสรุปเป็นคำตอบก็คงจะได้หลายประการด้วยกัน ซึ่งจะกล่าวถึงพอเป็นสังเขปดังนี้
1. สนับสนุนการให้บริการมัลติมีเดียในลักษณะที่สามารถโต้ตอบได้ เช่น อินเทอร์เน็ตไร้สาย และ เทเลคอนเฟอเรนซ์  เป็นต้น
2. มีแบนด์วิทกว้างกว่า  สามารถรับ-ส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็ว (bit rate) สูงกว่า 3G
3. ใช้งานได้ทั่วโลก (global mobility) และ service portability
4. ค่าใช้จ่ายถูกลง
5. คุ้มค่าต่อการลงทุนด้านโครงข่าย
 
พัฒนาการของ 4G สำหรับมาตรฐานต่างๆ
            หากพิจารณาในบริบทของมาตรฐานเทคโนโลยีระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูลาร์แบบดิจิทัลที่ใช้งานกันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น ค่ายใหญ่ๆ คือ จีเอสเอ็ม (GSM) และ ซีดีเอ็มเอ (CDMA) แล้วสามารถสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบลำดับพัฒนาการของมาตรฐานได้ดังตารางข้างล่างนี้



ในการพัฒนาเทคโนโลยี 4G ของ GSM กับ CDMA นั้น ยังคงแข่งขันกันอยู่ต่อไป กล่าวคือ 

GSM จะพัฒนาสู่ 4G โดยใช้รูปแบบการเข้าถึง (access type) เป็น UMTS LTE (Universal Mobile Telephone System – Long term Evaluation) คาดหมายว่า จะสามารถทำความเร็วในการดาวน์ลิงค์ / อัพลิงค์ได้ที่ 100 mbps / 50 mbps 

ในขณะที่ CDMA ใช้รูปแบบการเข้าถึงเป็น CDMA EV-DO Rev.C (กล่าวคือ เป็น UMB หรือ Ultra-mobile broadband) และมีความเร็วในการดาวน์ลิงค์ / อัพลิงค์ที่ 129 mbps / 75.6 mbps 
ตัวเลขความเร็วของทั้งสองค่ายจะเป็นราคาคุยหรือไม่คงต้องติดตามผลกันต่อไป

 
หาก 4G จะเกิดจากการรวม WiMax เข้ากับ 3G

          ท่ามกลางกระแสการแข่งขันระหว่างเทคโนโลยี 3G ที่กำลังถูกเทคโนโลยีใหม่อย่างไวแมกซ์ (WiMAX) เข้ามาตีเสมอ และในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสมาเหนือกว่า 3G อีกด้วย  

นัก วิเคราะห์และผู้เกี่ยวข้องในวงการโทรคมนาคมหลายกลุ่ม กล่าวกันถึงขนาดที่ว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูลาร์ของหลายประเทศที่ปัจจุบันครองตลาด ส่วนใหญ่ของประเทศหรือมีอำนาจเหนือตลาดคงจะไม่ยอมให้บริการไวแมกซ์เกิดขึ้น ในตลาดได้ง่ายๆ  ประกอบ กับบางประเทศยังมีปัญหาต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการไวแมกซ์ เช่น แผนเลขหมายแห่งชาติที่มีการจัดสรรความถี่ให้กับบริการไวแมกซ์  กฎ ระเบียบในการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและมีการแข่งขันที่เป็นธรรม  และความพร้อมในการลงทุนของผู้ให้บริการ เป็นต้น

หากจะรวมกันจริงๆแล้ว หลายฝ่ายยังมีความเชื่อว่า 3G คงจะไม่ถึงกับไปรวมอยู่ใต้เทคโนโลยีที่เป็นหนึ่งเดียว  เนื่องจาก 4G ควรจะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงได้ที่ระดับความเร็วอิเธอร์เน็ต (เช่น 10 Mbps)และใช้งานร่วมกัน (integrated) ได้ทั้งในลักษณะที่เป็นเครือข่ายท้องถิ่นหรือแลน (LAN – local area network) กับแวน (WAN – wide area network) แบบไร้สาย ด้วยการรวมเทคโนโลยี 3G และ WiMAX เข้าด้วยกันในเครื่องเดียวกัน

โดยมาตรฐานของ WiMax หรือ 802.16 สามารถให้บริการด้านบรอดแบนด์ไร้สายได้ไกลถึง 30 ไมล์ด้วยความเร็วประมาณ 10 Mbps

 สิ่งที่ยังเป็นปัญหาอยู่สำหรับบริการ WiMAX มี หลายประการที่ต้องมีการพัฒนาต่อไปจากที่สามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้ในระดับ หนึ่งแล้ว เช่น ตัวมาตรฐานเองที่ยังไม่ค่อยนิ่งเท่าใดนัก การพัฒนาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของโครงข่าย (ซึ่งรวมถึงตัวเครื่องลูกข่ายด้วย)  การเคลื่อนที่ของลูกข่ายจากสถานีฐานหนึ่งไปยังอีกสถานีฐานหนึ่งโดยไม่มีปัญหาสายหลุดหรืออาการสัญญาณสะดุด เป็นต้น

จึงเป็นที่เชื่อได้ว่าในขณะนี้คงต้องรอให้มาตรฐานเทคโนโลยี WiMAX ผ่านกระบวนการพัฒนาจนถึงขั้นเป็นมาตรฐานที่สมบูรณ์ (mature) แล้ว อาจเป็นไปได้ที่จะมีความพยายามนำเทคโนโลยี 3G และ WiMAXมาผสมผสานกันเป็น 4G หากกลุ่มที่พัฒนา 4G ไม่รีบชิงพัฒนา 4G หนีการรวมตัวกับ WiMAX ไปเสียก่อน

"4 จี" เทคโนโลยีที่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ทางด่วนข้อมูล 

เทคโนโลยี 4จี เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบเครือข่ายใหม่นี้ จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติการเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีก เครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าตามบ้านเลยทีเดียว

ทั้งนี้ มาตรฐาน 4จี จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที อยู่หลายขุมมาก

สุดยอดของมือถือ

ในส่วนของโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งใช้เทคโนโลยี 4จีนั้น จะสามารถส่งภาพวิดีโอที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับภาพจากโทรทัศน์ระบบความคมชัดสูง และชัดเจนกว่าภาพในโทรทัศน์ปกติถึง เท่า รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดข้อมูลได้เร็วกว่าระบบ 3จี ในปัจจุบันของบริษัทโดโคโมถึง 260 เท่า

อีกทั้งยังรองรับการให้บริการด้านเนื้อหามัลติมีเดียที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งคุณสมบัติด้านโปรแกรมไอดี (ID) ที่ช่วยให้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถพิสูจน์ถึงความเป็นตัวบุคคลนั้นๆ ได้

ตัวแทนบริษัทโดโคโม กล่าวอีกว่า เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทจับมือกับฮิวเลตต์-แพคการ์ด โค. (Hewlett-Packard Co.) เพื่อร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับการส่งผ่านข้อมูลมัลติมีเดีย และโปรแกรมด้านเครือข่ายผ่านทางเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง 4จี

โดยโทรศัพท์รุ่นใหม่ดังกล่าว จะสามารถส่งผ่านข้อมูลด้วยอัตราความเร็วกว่า 20 เมกะบิตต่อวินาที หรือเหนือกว่าอัตราความเร็วในการส่งผ่านของโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบันถึง 2,000 เท่า และเหนือกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับยุคที่สาม หรือ 3จี ถึง 10 เท่า

หน่วยงานราชการเตรียมปรับใช้

อย่างไรก็ดี กระทรวงการบริหารราชการ กระทรวงมหาดไทย รวมถึงกระทรวงไปรษณีย์ และโทรคมนาคม ของญี่ปุ่น เตรียมแผนจะพัฒนาเทคโนโลยี 4จี ที่สำคัญขึ้นในปี 2548 และนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ภายในปี2553

บริษัท โดโคโม กลายเป็นผู้ให้บริการรายแรกของโลกที่เปิดให้บริการ 3จี เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจาก มีราคาแพง อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้น และพื้นที่ให้บริการจำกัด 

กสท.ตั้งท่าปรับซีดีเอ็มเอสู่เทคโนโลยีแอลทีอี รุกทำ จี ชี้ระหว่างรอเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยียังลุยทำเงินจากซีดี เอ็มเอ เดินหน้ารวมโครงข่ายซีดีเอ็มเอ 76 จังหวัด
      
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท 
กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบซีดีเอ็มเอ อยู่ที่การแยกทำตลาดเป็น ส่วน คือ 25 จังหวัดในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทำตลาดภายใต้ชื่อฮัทช์ ขณะที่ใน 51 จังหวัดทำตลาดภายใต้ชื่อแคท ซีดีเอ็มเอ ดังนั้น เมื่อเข้ารับตำแหน่งจะเร่งเดินหน้ารวมโครงข่ายซีดีเอ็มเอ 76 จังหวัดให้เป็นหนึ่งเดียว คาดว่าการเจรจาซื้อขายโครงข่ายซีดีเอ็มเอและสิทธิในการทำตลาดของฮัทช์จะใช้เวลาประมาณ เดือน
      
นายจิรายุทธ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังพิจารณาว่าจะมีการปรับเทคโนโลยีที่ใช้ใน
โครงข่ายซีดีเอ็มเอหรือ ไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและสามารถทำตลาดได้ครอบคลุม เนื่องจากระบบซีดีเอ็มเอยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถโรมมิ่งระบบเมื่อเดินทาง ไปต่างประเทศได้ รวมทั้งไม่สามารถนำ   ซิมการ์ดใส่ ในโทรศัพท์มือถือระบบจีเอสเอ็มได้ เบื้องต้นมองว่าอาจปรับจากเทคโนโลยีซีดีเอ็มเอเป็นเทคโนโลยีแอลทีอี หรือ ลอง เทอร์ม อีโวลูชั่น (Long Term Evolution : LTE) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายยุคที่ 4(4 จี) ที่จะหลอมรวมระบบจีเอสเอ็ม และซีดีเอ็มเอ ให้ทำงานร่วมกันได้ ส่งผล   ให้ข้อจำกัดดังกล่าวหายไป คาดว่าอีก ปีเทคโนโลยีแอลทีอีจะมีการใช้งานเป็นมาตร ฐานเหมือนจีเอสเอ็ม
      
ทั้งนี้ เทคโนโลยี จี จะช่วยให้ผู้ ใช้มือถือใช้บริการมัลติมีเดียในลักษณะที่สามารถโต้ตอบได้ เช่น อินเทอร์เน็ตไร้สาย และ เทเลคอนเฟอเรนซ์ เป็นต้น โดยสามารถรับ-ส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็วสูงกว่า 3จี ปัจจุบัน
โครงข่ายซีดีเอ็มเอใน 51 จังหวัด มีความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูลได้เทียบเท่า จี.

ที่มา : http://www.tlcthai.com/webboard/
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com
ที่มา : http://www.obec.go.th/show_news.php?article_id=56
จาก http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24248

บทความที่ 7

บทความที่ 7

ไฟร์วอลล์ คือ
ไฟร์วอลล์ คือเครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันเน็ตเวิร์กจากการสื่อสารทั่วไปที่ไม่ได้รับ อนุญาต โดยที่เครื่องมือที่ว่านี้อาจจะเป็นHardware Software หรือ ทั้งสองรวมกันขึ้นอยู่กับวิธีการหรือ Firewall Architecture ที่ใช้ไฟร์วอลล์ เป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเชิงการป้องกัน (Protect) ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมการเข้าถึงเน็ตเวิร์ก (Access Control) โดยอาศัยกฎพื้นฐานที่เรียกว่า Rule Base ปัญหาความปลอดภัยของเน็ตเวิร์ก คือ การควบคุมการเข้าถึงระบบหรือข้อมูลภายในเน็ตเวิร์ก หรือที่เรียกว่า ซึ่งก่อนที่จะเกิดLogical Access ได้นั้นต้องทำการสร้างการเชื่อมต่อ (Logical Conection) และการเชื่อมต่อนั้นต้องใช้ Protocol ดังนั้นไฟร์วอลล์จึงจะทำหน้าที่ตรวจสอบการเชื่อมต่อภายในเครือข่าย ให้เป็นไปตามกฏ

คุณสมบัติของ 
Firewall
คุณสมบัติทั่วไปของ 
Firewall นั้นจะมีอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ
1. 
Protect
ไฟร์วอลล์ เป็นเครื่องมือที่ทำงานในเชิงการป้องกัน โดย 
packet ที่จะสามารถผ่านเข้า-ออกได้นั้น จะต้องเป็น packet ที่มันเห็นว่าปลอดภัย หาก packet ใดที่มันเห็นว่าไม่ปลอดภัย มันก็จะไม่อนุญาตให้ผ่าน โดยการตัดสินว่า packet ปลอดภัยหรือไม่นั้นขึ้นอยูกับกฎพื้นฐานที่Administrator ได้กำหนดไว้

2. 
Access Control
ไฟร์วอลล์จะควบคุมการ 
Access ของ Host ต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎพื้นฐานที่ Administrator ได้กำหนดไว้

3. 
Rule Base
ไฟร์วอลล์ จะทำการควบคุมการ 
Access โดยอาศัยการเปรียบเทียบคุณสมบัติของ Packet ที่จะผ่านเข้า-ออก กับกฎพื้นฐานที่Administrator ได้กำหนดไว้ หากพบว่าไม่มีกฎห้ามไว้ก็จะอนุญาติให้ผ่านไปได้ แต่ถ้ามีกฎข้อใดข้อหนึ่งห้ามมันก็จะไม่ยอมให้ผ่าน

ประเภทของไฟร์วอลล์
ประเภทของไฟร์วอลล์แบ่งตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบและควบคุมได้ 3 ชนิด คือ

1. 
Packet Filtering
เป็น 
Firewall พื้นฐานที่ควบคุม traffic ไปตามทางที่เหมาะสมเพียงทางเดียว โดยอาศัยการตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฎอยู่ใน packet เปรียบเทียบกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ Firewall ประเภทนี้ส่วนมากจะติดตั้งอยู่บนrouter จึงเรียก Firewall ชนิดนี้ว่า Screening Router
ข้อดีของ 
Screening Router
- ราคาถูกเพราะเป็นคุณสมบัติที่มีใน 
router อยู่แล้ว
- หาก 
Network ไม่ใหญ่มากนักสามารถใช้งานแทน Firewall ได้
- การใช้ 
Screening Router ควบคู่กับ Firewall จะช่วยแบ่งภาระของ Firewall ได้มาก
- สามารถใช้ป้องกันบางประเภทที่ 
Firewall ไม่สามารถป้องกันได้
ข้อเสียของ 
Screening Router
- การใช้งานยาก และไม่มีมาตรฐานกลาง
- ไม่สามารถกำหนดกฎที่ซับซ้อนได้ และมีความสามารถจำกัด
- อาจทำให้ 
Network ช้าได้

2. 
Circuit-Level (Statefull Firewall)
เป็น 
Firewall ที่ทำงานโดยที่สามารถเข้าใจสถานะของการสื่อสารทั้งกระบวนการ โดยแทนที่จะดูข้อมูลจากเฮดเดอร์เพียงอย่างเดียว Statefull Inspection จะนำเอาส่วนข้อมูลของแพ็กเก็ต (message content) และ ข้อมูลที่ได้จากแพ็กเก็ตก่อนหน้านี้ที่ได้ทำการบันทึกเอาไว้ นำมาพิจารณาด้วย จึงทำให้สามารถระบุได้ว่าแพ็กเก็ตใดเป็นแพ็กเก็ตที่ติดต่อเข้ามาใหม่ หรือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อที่มีอยู่แล้ว

ตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ทางการค้าที่ใช้ 
Statefull Inspection Technology ได้แก่ Check Point Firewall-1, Cisco Secure Pix Firewall, SunScreen Secure Net และส่วนที่เป็น open source แจกฟรี ได้แก่ NetFilter ในLinux (iptables ในลีนุกซ์เคอร์เนล 2.3 เป็นต้นไป)
ข้อดีของ 
Statefull Firewall
- ใช้งานง่าย เพราะถูกออกแบบมาทำหน้าที่ 
Firewall โดยเฉพาะ
- ประสิทธิภาพสูง เพราะถูกออกแบบมาทำหน้าที่ 
Firewall โดยเฉพาะ
- สามารถทำ 
IDS เพื่อป้องกันการโจมตีได้
- การกำหนด 
Access Ruleทำได้ง่าย
- สามารถเพิ่มบริการอื่นๆได้
- มีความสามารถในการทำ 
Authentication
- การสื่อสารระหว่าง 
Firewall กับ Administration Console มีความปลอดภัยสูง
ข้อเสียของ 
Statefull Firewall
- ราคาแพง
- มีความเสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบในระดับ 
OS ที่ตัว Firewall ติดตั้ง
- ผู้ใช้จำเป็นต้องอาศัยผู้ผลิตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ 
Firewall ประเภท Network Appliance คือ เป็น
ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์

3. 
Application Level Firewall (Proxy)
เป็น แอพพลิเคชันโปรแกรมที่ทำงานอยู่บนไฟร์วอลล์ที่ตั้งอยู่ระหว่างเน็ตเวิร์ก 2 เน็ตเวิร์ก ทำหน้าที่เพิ่มความปลอดภัยของระบบเน็ตเวิร์กโดยการควบคุมการเชื่อมต่อระ หว่างเน็ตเวิร์กภายในและภายนอก
Proxy จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากเนื่องจากมีการตรวจสอบข้อมูลถึงในระดับของ แอพพลิเคชันเลเยอร์ (Application Layer) 
ลักษณะการทำงานของ 
Application Level Firewall นั้นคือเมื่อไคลเอนต์ต้องการใช้เซอร์วิสภายนอก ไคลเอนต์จะทำการติดต่อไปยัง Proxy ก่อน ไคลเอนต์จะเจรจา (negotiate) กับ Proxy เพื่อให้ Proxy ติดต่อไปยังเครื่องปลายทางให้ เมื่อ Proxy ติดต่อไปยังเครื่องปลายทางให้แล้วจะมีการเชื่อมต่อ (connection) 2 การเชื่อมต่อ คือ ไคลเอนต์กับ Proxy และ Proxy กับเครื่องปลายทาง โดยที่ Proxy จะทำหน้าที่รับข้อมูลและส่งต่อข้อมูลให้ใน 2 ทิศทาง ทั้งนี้ Proxy จะทำหน้าที่ในการตัดสินใจว่าจะให้มีการเชื่อมต่อกันหรือไม่ จะส่งต่อแพ็กเก็ตให้หรือไม่
ข้อดีของ 
Application Level Firewall (Proxy)
- สามารถควบการติดต่อสื่อสารระหว่าง 
Internet กับ Network ในระดับ Application เท่านั้น ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามใน ระดับ Network Layer
- สามารถเพิ่มหน้าที่อย่างอื่นเข้าไปได้ เช่นการควบคุมการเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่ต้องการได้
- สามารถทำการแคชข้อมูลไว้ที่ตัว 
proxy สำหรับข้อมูลที่ใช้บ่อย ทำให้เพิ่มความเร็วในการใช้งานในครั้งต่อไป
- การใช้งานแบนด์วิดธ์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- มีความสามารถในการตรวจสอบผู้ใช้ (
User Authenticate)
- มีความสามารถในการกลั่นกรองเนื้อหาได้ (
Content Filtering)
ข้อเสียของ 
Application Level Firewall (Proxy)
- ใช้ได้กับ 
Application บางตัวเท่านั้น
- ไม่สามารถใช้งานกับ 
Application ที่ต้องการการสื่อสารโดยตรงแบบ end-to-end ได้
- เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว
- จำเป็นต้องมี 
proxy หลายตัวหากต้องการใช้งานหลาย Application
- อาจเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาคอขวดได้
- เสี่ยงต่อการโดนโจมตีแบบ 
DoS

ติดตั้ง 
Firewall แล้วปลอดภัยจริงหรือ ?
ผู้ ขายทุกรายจะบอกว่าผลิตภัณ์ 
Firewall ของเข้านั้นป้องกันภัยคุกคามได้ทุกๆ อย่างแบบครอบจักรวาล (ว่าไปนั้น) และผู้ใช้ส่วนมากจะเข้าใจว่า Firewall สามารถช่วยป้องกันระบบเครือข่ายให้ปลอดภัยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นอย่างนั้น เนื่องจาก Firewall นั้นมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนี้

สิ่งที่ 
Firewall สามารถป้องกันได้
1. 
Network Scanning – ด้วยคุณสมบัติที่ Firewall สามารถควบคุมการเข้า-ออก ของ packet ได้ มันจึงสามารถจำกัดปลายทางของ packet ที่ผ่านเข้ามาเฉพาะ Host ที่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อได้เท่านั้น
2. 
Host Scanning – Firewall จะทำการตรวจจับการ scan เพื่อหาว่ามีการรัน Service อะไรบ้างบน host
3. 
Inbound Access - ควบคุมการเข้ามาของ packet เฉพาะที่ได้รับอนุญาตตาม Rule Base
4. 
Outbound Access - ควบคุมการออกไปของ packet เฉพาะที่ได้รับอนุญาตตาม Rule Base
5. การลักลอบส่งข้อมูล
6. 
Network Denial of Service – ป้องกันการก่อกวนเพื่อไม่ให้ Host สามารถให้บริการได้ เช่นการทำให้เน็ตเวิร์กท่วมไปด้วยข้อมูล (Network Flooding) ทำการส่ง packet จำนวนมากไปยัง Host เพื่อขอใช้บริการ (SYN Flooding)
7. 
Trojan Horse, Backdoor, Back Orifice

สิ่งที่ 
Firewall ไม่สามารถป้องกันได้
1. 
Hacker
2. 
Allowed Services
3. 
Application Vulnerability
4. 
OS Vulnerability
5. 
Virus
6. การดักอ่านข้อมูลโดย 
Sniffer
7. 
Spammed Mail
8. 
Administration Mistake
อ้างอิง http://itm51.justboard.net/t97-topic

บทความที่ 6

บทความที่ 6

Rom กับ Ram แตกต่างกันอย่างไร
Rom จะใช้บันทึกข้อมูล หรือโปรแกรม มาจากโรงงาน จะเขียนซ้ำก็ได้แต่ต้องมีโปรแกรมหรือเครื่องมือ ลักษณะการเขียนข้อมูลกึ่งถาวร เช่น Rom บนเมนบอร์ดใช้ใส่โปรแกรมไบออส

Ram เป็นที่บันทึกข้อมูลชั่วคราว ปิดไฟเลี้ยงข้อมูลก็หาย ต่างกับ Rom แม้ ไม่มีไฟเลี้ยงข้อมูลก็ยังอยู่ ใชัสำหรับบันทึกข้อมูลของโปรแกรมต่างๆของวินโดส์ ยามที่เราเรียกใช้งานโปรแกรมนั้น เมื่อเราปิดโปรแกรมนั้น ข้อมูลก็จะถูกลบไป ram ก็จะว่างอีก ปกติวินโดส์ก็จะมีโปรแกรมต่างๆทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็อาศัย Ram บันทึกข้อมูลชั่วคราว
ดังนั้นจะเห็นว่า ram ยิ่งมากก็จะมีผลดีต่อประสิทธิภาพของวินโดส์
อ้างอิง http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=490d4534c0e8

บทความที่ 5

 


บทความที่ 5

อินเทอร์เน็ตคืออะไร
อินเทอร์เน็ต (Internet) คือ กลุ่มเครือข่ายย่อย ๆ ของคอมพิวเตอร์
จำนวนมากที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันภายใต้มาตรฐานการสื่อสาร (Protocol)
เดียวกัน จนเป็นสังคมเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งคอมพิวเตอร์
ที่อยู่ในเครือข่ายแต่ละเครื่อง สามารถรับส่งข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ กัน
เช่น ตัวอักษร ภาพ เสียง รวมทั้งสามารถสืบค้นข้อมูลข่ายสารจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
บนอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว



ประวัติและความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตถือกำเนิดในยุคของสงครามเย็นระหว่างประเทศมหาอำนาจ(สหรัฐอเมริกา)
กับรัสเซียเนื่องจากกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นได้เกิดแนวคิดที่ต้องการ
ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยคอมพิวเตอร์สามารถสั่งการและทำงานได้
ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้คอยควบคุมดูแล หากมีการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูหรือขีปนาวุธ
นิวเคลียร เข้ามาถล่มจุดยุทธศาสตร์ที่เมืองใดเมืองหนึ่ง อาจทำให้ระบบคอมพิวเตอร์บางส่วน
ถูกทำลายไปแต่ส่วนที่เหลือจะต้องสามารถปฏิบัติงานได้ ซึ่งเป้าหมายนี้เองจึงได้เกิดโครงการวิจัย
และพัฒนาระบบ เครือข่ายดังกล่าวขึ้น เรียกว่า ARPA(Advanced Research Projects Agency)
และได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดได้กลายมาเป็นเครือข่ายที่มีชื่อว่า อินเทอร์เน็ต” (Internet)
ในปัจจุบัน